Diary

posted on 05 Sep 2011 14:26 by 5250110069

ความทุกข์ของคนเรา


สวัสดีผู้ที่หลงเข้ามา และสวัสดีเจ้าไดอารี่น้อยของตัวข้าเจ้าด้วย ปกติก็ไม่คอยเขียนไดอารี่หรอก
แต่ถามว่าชอบจะเขียนไหม?..ชอบค่าาา ชอบจะเขียน แต่มันติดตรงขี้เกียจนี้แหล่ะ _ _"
ไม่เป็นไร วันนี้จะเริ่มต้นเขียนละกัน อิอิ 
ปกติตัวข้าเจ้าเองจะชอบพวกบทกลอน บทความต่างๆที่ฟังแล้วมันไพเราะ ได้ใจความ และมีความหมายในตัวมันเอง
วันนี้เลยเอาบทความหนึ่งมาให้อ่านดู ตัวข้าเจ้าชอบมากเลย อย่าช้านะ ไปอ่านกันเลยยยย


"ความทุกข์ของคนเราส่วนใหญ่นั้น เกิดขึ้นเพราะเรามองคนอื่นมากเกินไป ตั้งใจเปรียบเทียบ เพราะอยากพัฒนา อยากปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเป็นสิ่งดี แต่บางครั้งตั้งใจมากไป สุดท้ายกลายเป็นสูญเสีย ทั้งความมั่นใจ และความเป็นตัวของตัวเองไปด้วยความไม่รู้ตัว""

"อย่าปฏิเสธว่าคุณไม่เคยคิดเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่คุณมีกับสิ่งที่คุณเคยมี หรือแม้แต่กับสิ่งที่คนอื่นมี แฟนปัจจุบันกับแฟนเก่า หรือแม้แต่กับแฟนเพื่อน ทั้งที่รู้อยูร้อยทั้งร้อยไม่มีผลดีอะไรซักนิดต่อความสัมพันธ์เลย ซ้ำร้ายยังอาจเป็นบ่อนทำลายความรู้สึกของคนที่เรารักหรือรักเรา เอาเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้"




posted on 08 Sep 2011 11:32 by 5250110069


วันที่แสนสนุกแต่กลับเศร้า

ไม่ได้เขียนไดอารี่หลายวันก็คิดถึงเหมือนกัน วันนี้อยากจะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนคนหนึ่่ง
เพื่อนคนนี้จะขึ้อายเจ้าค่ะ จะจีบสาวทียังไม่ค่อยกล้าเลย ผลลัพธ์มันเลยอลม่านไปหน่อย
ขอเล่าเลยละกัน แต่ ปล.ตัว้ขาเจ้าเอามาจากไดอารี่ของเพื่อนอีกทีหนึ่งนะ
พอดีเข้าไปอ่านแล้วขำมากเลย ก็เลยก็อปมาให้อ่านจ๊ะ


เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมและครอบครัวเธอได้ไปเที่ยวด้วยกันที่น้ำตกไนแองกาล่าด้วยกัน มันเป็นวันที่สนุกมาก พวกเราได้ถ่ายรู้ภาพไว้ด้วยกันอย่างมาก แต่ผมไม่เคยมีรู้ถ่ายคู่กับหล่อนเลย นี่แหละครับคือปัญหา ผมไม่กล้าที่จะขอเธอถ่ายรูปด้วยกัน มันแน่นอนอยู่แล้วครับว่า เธอต้องบอกตกลง แต่สีหน้ามันจะต้องฟ้องแน่ว่าพอใจหรือไม่พอใจ เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆจนพลบค่ำ ทางน้ำตกไนแองกาล่าเอง ได้เปิดไฟใต้น้ำตกไว้อย่างสว่างสวยงามมาก เมื่อในตอนนั้น ผมกำลังตั้งกล้องเพื่อให้ได้ภาพผมอยู่ในรูปกับน้ำตกที่สวยที่สุด เพราะ ผมเลือกใช้โหมดบุคคลในตอนกลางคืน มันจะใช้เวลาในการถ่ายนานกว่าปกติไปนิด นี่คือเหตุผลของความเศร้าครับ เมื่อผมกำลังตั้งกล้องนับเวลาถอยหลังอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงนางฟ้าดังมาว่า ''Hey Top, We need to go now''  ในขณะที่เธอกำลังวิ่งมาพร้อมกัน ทันใดนั้น ผมตัดสินใจวิ่งเขาหาเธอพร้อมคว้าตัวเธอไว้ บอกว่า ''Say cheese" แต่ผมลืมบอกเธอว่าให้อยู่เฉยๆหลังจากชัตเตอร์ แค่นั้นเอง หลังจากชัตเตอร์แล้ว เธอขยับทันที โอ........พระเจ้า ภาพที่ผมได้นั้นมันมั่วมากเพราะเธอขยับ และผมไม่มีโอกาศที่จะมาถ่ายอย่างนั้นกับเธออีกแล้ว พวกเราต้องรีบไปทันที ในขณะที่ผมกำลังเซงกับภาพอยู่ เธอก็ฉุดผมไปทันทีพร้อมบอกว่า ''Okey Top, Let's head out"

สุดท้ายก็อยากบอกว่า พระเจ้าให้โอกาศผม และพระเจ้าก็เป็นคนทำลายโอกาศผม






posted on 011 Sep 2011 12:13 by 5250110069

เสื้อแห่งความสุข


สวัสดีไดอารี่วันอาทิตย์จร้า วันนี้เหมาะแห่งการพักผ่อนมากที่สุดหลังจากโหมงานส่งอาจารย์
ใกล้สอบปลายภาคงานก็เยอะเป็นธรรมดา แต่ไม่ใช่งานพวกทำรายงานส่งธรรมดานะสิ
โปรแกรมเอย Blog และก็ทำBlogส่วนตัวอีก เหอะๆ เหนื่อยเจ้าค่ะ
ตอนเปิดคอมขึ้นมาจำได้ว่าตอนมอปลายชอบฟังเพลงของลานนามากๆ
ถึงขนาดซื้อฟังหมดทุกอัลบั้ม และก็ร้องได้เกือบหมด แต่ยังมีอยู่เพลงหนึ่งที่ความหมายดีมากๆ
เป็นเพลงที่แต่งมาจากนิทานเซน ชื่อเรื่องคือ "เสื้อแห่งความสุข" 


จะเล่าถึงพระราชผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่มีพร้อมทั้งทรัพย์ บริวาร และลูกเมีย
แต่กษัตริย์กลับไม่มีความสุข เมื่อพระราชาป่วยหนักโดยไม่รู้สาเหตุ ราชสำนักจึงวุ่นวาย ไม่มีใครรู้ว่าทำไมพระราชาที่แข็งแรงมาตลอดจู่ๆก็ต้องมาล้มเจ็บลงอย่างกะทันหัน พระราชามีอาการไข้สูง หน้าแดง และลุกเดินหรือแม้เพียงลุกจากเตียงก็ไม่ได้ แต่ทรงเสวยอาหารและทรงดื่มได้เป็นปกติ หมอหลวงทั้งสิบคนไม่มีใครรู้จักโรค จึงไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ พระราชาก็เลยส่งไปลานประหารทั้งสิบคน ให้ไปเรียนวิชากันใหม่ในปรภพ ในที่สุดก็ต้องประกาศหาแพทย์จากภายนอกพระราชวัง แต่ก็ไม่มีใครยอมมา พวกหมอทั้งหลายต่างพากันเลิกอาชีพแพทย์ เพราะกลัววินิจฉัยโรคพระราชาไม่ได้ จะพลอยถูกสั่งให้ตายฟรีๆ ดังนั้น จึงหันไปหาอาชีพอื่นหรือไม่ก็หลบหนีหาที่ซุกซ่อนตัวในที่ต่างๆ

 อย่างไรก็ตาม มีหมอเก่งๆที่มีชื่อเสียงมากที่สุดสองคน ที่หนีอย่างไรคงไม่พ้น เพราะชื่อเสียงที่ค้ำคอจนหนีตัวเองไม่ได้ หมอที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งนั้นยากจน เหมือนกับหนูแก่ๆในบ้านคนจน เขาอยู่กับห้องหนังสือและการค้นคว้า หากว่ารักษาไม่หายก็ไม่เรียกร้อง หากว่ารักษาไม่หาย คนไข้ตายไป ญาติก็ยังแซ่ซ้องว่า พยายาม หมอที่ดีคนนี้ดูพระราชา แต่ไม่ว่าจะตรวจอย่างไรก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
 “พระองค์ทรงแข็งแรงยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีกหมอบอกกับพระราชา
และทันใดนั้น พระราชาก็บอกกับทหารรักษาพระองค์ เอาหมอไปประหารเดี๋ยวนี้!!
ส่วนหมอที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งที่เข้าเฝ้าพระราชา เขามาด้วยอาการหน้าซีดราวกับไก่ต้มฟัก หมอคนนี้ไม่เคยอ่านหนังสือหรือค้นคว้าอะไรทั้งสิ้น เขาเลือกที่จะรักษาคน คนที่ป่วยหนักไม่รักษา คนแก่ก็ไม่รักษา และ คนจนไม่มีเงินจ่าย ก็ไม่รักษา
 หมอสั่งให้พระราชาอ้าปาก แล้วทันทีก็ดีดนิ้วมือเป๊าะๆ
โอ.. พระราชาป่วยจริงๆด้วย แต่รักษาง่ายมากเขาประกาศพร้อมกับบอกวิธีรักษาเสียงดัง
ขอให้ไปหาเสื้อของผู้ที่มีความสุขตลอดเวลา มาให้พระราชาใส่นอนเป็นเวลาหนึ่งคืน พระราชาก็จะหายเป็นปกติหมอยืนยัน
 พระราชาสั่งทันควัน ทหารจำนวนมากถูกสั่งให้ไปหาเสื้อตัวนั้น มาให้ได้ก่อนค่ำของวันนั้น ทุกคนแยกย้ายกันไปทุกทิศทุกทาง เพื่อหา เสื้อแห่งความสุขมาให้พระราชาสวมใส่ให้ได้
 ทหารบางคนไปถามเศรษฐีที่ร่ำรวยเหลือล้น มีบ้านช่องใหญ่โต มีข้าทาสบริวารเป็นร้อย แต่ก็ไม่มีเศรษฐีแม้แต่คนเดียวที่บอกว่าตนเองมีความสุข..
อย่าว่าแต่ตลอดเวลาเลย แม้แต่ความสุขเพียงอึดใจเดียว ข้าก็ไม่เคยจะมีกับเขาพวกเศรษฐีทุกคนต่างกล่าวเหมือนกันเช่นนั้น
ทหารบางคนไปหาหัวหน้าข้าราชการและผู้ทรงเกียรติระดับสูง เผื่อว่าเกียรติยศและตำแหน่งอาจให้ความสุขตลอดเวลาได้บ้าง ก็พบแต่คนที่ส่ายหน้า.. มีความสุขกับผีอะไรกัน วันๆเอาหัวให้ติดอยู่กับบ่าได้ก็บุญโขแล้ว
พวกเขาไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไรจะถึงเวลาที่พระราชาจะสั่งประหาร..
พ่อข้าเคยสั่งเอาไว้ว่า บรรดางานอาชีพทั้งหมด ที่ควรจะหลีกหนีให้พ้น มีเพียงประการเดียวนั่นก็คือ งานอาชีพใดๆที่ทำให้ต้องเข้าไปอยู่ใกล้กับพระราชา…    แต่พวกข้าไม่เชื่อ และตอนนี้รู้ ทั้งรู้ก็ถอนตัวไม่ได้ ถอนก็ตาย ไม่ถอนก็ตาย แล้วจะให้มีความสุขอย่างไร
ตกลงเศรษฐี ข้าราชการก็ไม่ใช่ผู้มีความสุขตลอดกาล
ทหารอีกกลุ่มหนึ่งจึงไปหาพวกพระที่หนีไปอยู่ป่าแสวงหาวิเวก และผู้ปฏิบัติสมาธิ โดยคิดว่า พวกเขาน่าจะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดตลอดเวลา แต่ไม่ว่าพระหรือนักบวชปัญญาดีคนใดที่ไหน ล้วนตอบเหมือนๆกัน..
หากว่าข้ามีความสุข ข้าจะมานั่งทรมานกายใจ อดๆอยากๆกันไปทำไมกัน ข้ามีแต่ความทุกข์ ข้าถึงพยายามหนีตัวเองให้พ้นอยู่นี่ไงล่ะ?”
 ตกลงนักบวชหรือพระก็ไม่ใช่ผู้มีความสุขตลอดกาลอีกเหมือนกัน
 ทหารพากันไปหาที่ไหนๆ ก็ไม่พบคนมีความสุข นางคณิกาไม่มีความสุข ครูอาจารย์ก็ไม่มีความสุข กวีและนักดนตรีเมื่อไม่เขียนหรือท่องกวีหรือเล่นดนตรีก็ไม่มีความสุข ใครเล่าที่ท่องกวี เล่นดนตรีจนไม่ทำมาหากิน คนเราลงต้องอยู่กับชุมชนต้องทำมาหากินกัน และเมื่อไรที่คนต้องทำมาหากิน คนคนนั้นก็ไม่มีทางพบกับความสุขกันทั้งนั้น
เวลาใกล้ค่ำเข้ามาเต็มที..
แต่เหล่าทหารก็ยังไม่พบว่าจะมีใครสักคน ที่อาจบอกได้ว่าเป็นผู้มีความสุขตลอดเวลา
ในที่สุดพวกทหารต่างก็หมดปัญญาและพากันเดินทางกลับเข้าเมือง
 ทันใดนั้นเองทุกคนก็ได้ยินเสียงเพลงแห่งความสุขดังขึ้นมา ราวกับว่า ผู้ร้องมีความสุขเต็มประดา เสียงเพลงดังก้องไปทั่วทุกท้องถนน...
ข้านี่สิคือความสุข ข้ามีแต่ความสุขและไร้ซึ่งความทุกข์ ไม่ว่าทุกข์ใดแม้นาทีเดียวก็ไม่สามารถพานพบข้าได้... ข้ามีความสุขอย่างที่สุดจริงๆด้วย ฮา ฮา ฮา...
 ทหารต่างวิ่งกรูเข้าไปหาต้นเสียงที่ร้องกังวานนั่น
ท่านเป็นใคร? ท่านแน่ใจหรือว่า ท่านมีความสุขตลอดเวลาอย่างแท้จริงหลายคนตะโกนถาม


แน่นอนที่สุด เพราะตัวข้าคือตัวความสุข ข้าคือความสุข...ฮา ฮา ฮา...
ที่หัวเลี้ยวของถนนสายหลักในเมือง ชายขอทานร่างพิการนั่งร้องเพลงพร้อมกับหัวเราะร่วนอยู่ไปมา
ทหารทุกคนเข้ามาห้อมล้อมขอทานผู้นั้น
ทว่า อนิจจา... ขอทานไม่มีทรัพย์สินใดๆอีก นอกจากกะลาครึ่งใบกับเศษสตางค์สองสามเหรียญที่ก้นกะลา และมีผ้าเตี่ยวคร่ำคร่า ไม่หลงเหลือสีสันให้เห็นอีกแล้ว
ขอทานผู้มีความสุขตลอดกาลผู้นั้น ไม่มีแม้เสื้อจะสวมใส่


อ่านจบแล้วตัวข้าเจ้าได้ข้อคิดมากมายเลย
ความสุขของคนเรานั้นไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์ บริวาร หรือสิ่งภายนอกเสอมไป
หากแต่อยู่ภายในจิตใจเราต่างหาก
ถึงจะเรียกว่าความสุขที่แท้จริงได้ ^^'







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น